รถไฟฟ้าญี่ปุ่น มีกี่แบบ กี่เส้นทาง รู้ไว้จะได้เที่ยวแบบเซียน Cover Page

ญี่ปุ่น เป็นประเทศที่ใช้รถไฟฟ้าเป็นหลักของประเทศ จนประเทศญี่ปุ่นได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งรถไฟ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการเดินทางด้วย รถไฟฟ้าญี่ปุ่น นั้นจะช่วยให้เกิดความสะดวก รวดเร็วเพียงไหนก็ตาม  การใช้บริการรถไฟญี่ปุ่น สำหรับคนต่างบ้านต่างเมืองอย่างเรานั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เรียกได้ว่านับเป็นความท้าทายใหม่ๆ เลยทีเดียวสำหรับการใช้งานในครั้งแรก  เพราะรถไฟในญี่ปุ่นนั้นมีหลายประเภททั้ง JR, รถไฟฟ้าบนดิน, รถไฟใต้ดิน และรถไฟหัวจรวดชินคันเซ็น ต่างๆ  ซึ่งแต่ละประเภทก็จอดไม่เหมือนกัน  มีทั้งจอดทุกป้าย จอดบางป้าย จอดแค่ปลายทาง  ไหนจะแผนที่รถไฟฟ้า ที่ดูแล้วนักเดินทางมือใหม่มึนตึ้บอย่าบอกใคร  ว่าแล้วเรามาทำความรู้จักรถไฟฟ้าญี่ปุ่น เบื้องต้นว่า มีกี่แบบ กี่เส้นทาง  จะได้วางแผนเที่ยวก่อนไปให้สนุกไม่เสียอารมณ์ค่ะ  

 

รถไฟฟ้าญี่ปุ่น มีกี่แบบ มาทำความรู้จักรถไฟญี่ปุ่นกัน

 

 รถไฟฟ้าญี่ปุ่น Image1

 

ผู้ให้บริการรถไฟฟ้าญี่ปุ่น แบ่งเป็นสามประเภทหลักๆ   ให้บริการในกลุ่ม JR มีทั้งหมด 6 บริษัท แบ่งตามภูมิภาคและพื้นที่ให้บริการ / ผู้ให้บริการรถไฟเอกชน  ภายในเมือง เช่น Osaka City Subway, Tokyo Metro และ Toei Subway  เป็นต้น  และผู้ให้บริการระดับข้ามเมือง ข้ามจังหวัด ข้ามภูมิภาค  เช่น Nankai  Keihan Hankyu, Hanshin และ Sanyo   ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ให้บริการเจ้าไหน หรือบริษัทไหน ก็แบ่งตามการใช้งานหรือประเภทการให้บริการ เป็น 2 รูปแบบใหญ่ๆ (ที่เราจะเข้าใจได้ง่ายๆ) ก็คือ  

 

1. รถไฟฟ้าญี่ปุ่น ที่จอดทุกสถานี ทุกป้าย หรือรถไฟประเภท local

รถไฟญี่ปุ่น ประเภท local ถ้าเทียบกับเมืองไทยบ้านเรา ก็เหมือนกับ BTS หรือ MRT เป็นรถไฟประเภทธรรมดา ที่วิ่งด้วยความเร็วปกติ และจะจอดรับ ส่ง ผู้โดยสาร ทุกป้ายสถานีในเส้นทาง รถไฟญี่ปุ่น ประเภทนี้ สามารถซื้อตั๋วที่ตู้ขายตั๋ว หรือสามารถใช้ money card ไม่ว่าจะเป็น Suica หรือ Pasmo ได้เลย อย่างไรก็ตาม หากคุณเที่ยวในเมืองใหญ่ๆ เช่น นั่งรถไฟภายในโตเกียว หรือโอซาก้า และต้องการลงตามสถานีย่อยๆ ต่างๆ จะไปฮาราจูกุ หรือ ชิบูย่า ก็ต้องเลือกนั่งรถไฟประเภทนี้ ซึ่ง ต้องวางแผนเส้นทางและตรวจสอบสถานีที่อยู่ในเส้นทางให้ดี  

 

2. ประเภท express ซึ่งไม่ได้จอดทุกสถานี

รถไฟฟ้าญี่ปุ่น ประเภท express ไม่ได้จอดทุกสถานีค่ะ และมีหลายรูปแบบ ทั้ง semi-express / express ไปจนถึง Limited express ซึ่งแต่ละประเภท ก็มีได้หลากหลายบริษัท หลากหลายช่องทางการซื้อตั๋ว และอาจจะมีหลายชื่อ หากบริษัทต่างกัน  

 

ประเภท semi-express

รถไฟญี่ปุ่น  semi-express  (บางสาย คือบางบริษัทอาจจะใช้ชื่อว่า section semi-express) เป็นรถไฟญี่ปุ่นประเภทนี้ เป็นกึ่งรถไฟเร็ว แม้ว่าจะไม่จอดทุกสถานี  แต่ก็อาจจะมีจอดสถานีย่อยบ้าง เช่น วิ่งผ่าน 2-3 สถานี อาจจะจอด 1 สถานี ข้อดีก็คือมีความรวดเร็วกว่ารถไฟฟ้าญี่ปุ่น แบบ Local ถ้าหากจุดหมายของคุณอยู่ในเส้นทางบริการ  ก็ช่วยการประหยัดเวลาได้ดีเลยล่ะ  แต่ต้องตรวจสอบให้ดีนะ เพราะรถจอดแค่บางสถานีเท่านั้นค่ะ

 

ประเภท express

รถไฟญี่ปุ่น ประเภทนี้เป็นรถไฟประเภทรถด่วน และจะเพิ่มสปีดความเร็วมากกว่า semi-express มีจุดในการจอดให้บริการตามสถานีใหญ่ๆ ที่เป็นศูนย์กลางในการเปลี่ยนสาย เท่านั้นซึ่งรถไฟฟ้าประเภท express ส่วนใหญ่จะให้บริการในเส้นทางเข้า-ออกระหว่างเมือง และชานเมือง โดยการเดินทางจากต้นทาง นิยมจอดสถานีใหญ่ๆ ในเมือง แต่ขากลับจะจอดป้ายสำคัญต่างๆ ในเมืองยกเว้นป้ายต่างๆ ระหว่างทางชานเมือง อย่างไรก็ตาม แนะนำให้ตรวจสอบสถานีที่ให้บริการบนรถไฟเส้นนี้ก่อนที่จะขึ้น เพราะถ้าขึ้นผิดอาจจะใช้เวลานานกว่าจะหาทางเปลี่ยนรถไฟประเภทอื่นกลับมาสถานีที่อยากจะลงได้ค่ะ

 

ประเภท Rapid express

Rapid express เป็นรถไฟบริการพิเศษที่วิ่งด้วยความเร็วสูง จะจอดเฉพาะป้ายสำคัญหลักๆ ที่เป็น Terminal ใหญ่เท่านั้น  เช่น รถไฟขบวนที่เดินทางไปสนามบิน จะจอดเฉพาะป้ายหลักๆ ในเมืองเท่านั้น และวิ่งตรงไปจนถึงสนามบิน หรือ รถไฟฟ้าญี่ปุ่นในโตเกียว  ซึ่งที่จอดเฉพาะจุดหลักๆ  อาทิเช่น ชินจุกุ, ชิบูย่า และ อิเคะบุคุโระ เป็นต้น   จุดเด่นของ Rapid express คือประหยัดระยะเวลาการเดินทางเป็นอย่างมาก  

 

ประเภท Limited express

เป็นรถไฟญี่ปุ่น ที่เร็วที่สุดในกลุ่มบริการ  โดยจะวิ่งระหว่างเมือง หรือวิ่งไปสนามบิน  รถไฟประเภทนี้จะมีห้องโดยสารที่กว้างขวาง นั่งได้สบาย ยกตัวอย่างเช่นรถไฟ Narita Express ที่เดินทางไปยังสนามบินนาริตะโดยจอดแค่ป้ายสำคัญเล็กน้อยในเมืองโตเกียวเพื่อรับผู้โดยสารและวิ่งยาวจนไปถึงสนามบิน  

 

ข้อควรรู้เมื่อจะใช้บริการ รถไฟฟ้าญี่ปุ่น

 

 รถไฟฟ้าญี่ปุ่น Image2

 

เมื่อรู้จักกับขบวนของรถไฟญี่ปุ่นแล้ว ต่อมาก็ต้องมาทำความเข้าใจเรื่องของชานชาลาจอดค่ะ  

  1. เราต้องศึกษาข้อมูลว่า ชานชาลาที่เราต้องการขึ้นรถไฟนั้นไปทางไหน ทั้งนี้จะมีป้าย ดูได้จากคำว่า For ตามด้วยชื่อสถานีหลัก สถานีเปลี่ยนสาย และสถานีสุดท้าย ก่อนขึ้นจึงต้องเช็คดูห้แน่ใจและควรศึกษาผังรถไฟสายที่จะใช้บริการด้วย  
     
  2. ในบางสถานีนั้น หนึ่งชานชาลาอาจมีรถมาเทียบมากกว่าหนึ่งสาย สิ่งที่เราต้องสังเกตคือ รถไฟที่มานั้น ใช่รถขบวนของเราไหม โดยดูจากแถบสีอะไร เป็นรถไฟฟ้าญี่ปุ่นแบบไหน เช็คให้ดีก่อน เพราะถ้าพลาดอาจจะออกนอกเส้นทางไปเลย หรือต้องนั่งรถไฟยาวเลยล่ะค่ะ  
     
  3. ควรศึกษากฎ และระเบียบต่างๆ บนชานชาลา เช่นห้ามกางร่ม, ห้ามใช้ไม้เซลลฟี่ ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย รวมทั้งต้องปิดเสียงโทรศัพท์ และงดคุยโทรศัพท์บนรถไฟฟ้าญี่ปุ่นด้วย เรื่องนี้ชาวญี่ปุ่นค่อนข้างจริงจังมากๆ  ใครติดมือถือ ปิดเสียงไถไปเงียบๆ นะ  

 

เอาล่ะ นี่คือข้อมูลเบื้องต้นเพื่อช่วยให้คุณนั่งรถไฟฟ้าได้แบบมั่นใจมากขึ้น ถึงแม้ว่ามันอาจจะดูค่อนข้างยากไปสักนิด  แต่ขอบอกเลยว่า เมื่อคุณเริ่มคุ้นเคยกับรถไฟญี่ปุ่นแล้ว คุณจะพบว่ามันเป็นบริการรถสาธารณะที่สะดวก รวดเร็ว ช่วยให้การเดิทางท่องเที่ยวประหยัดเวลาไปอย่างมาก และถ้าบังเอิญคุณผิดพลาดหลงทาง เช่น ขึ้นรถไฟผิดสาย ก็อย่าคิดมากค่ะ ถือซะว่ามาเที่ยวครั้งนี้ได้ประสบการณ์ใหม่ๆ กลับไปด้วย เผลอๆ อาจจะกลายเป็นทริปที่คุณประทับใจไม่รู้ลืมก็ได้นะ  

Powered by