การมีโอกาสได้เดินทางไปท่องเที่ยวถึงประเทศอินเดียนอกจากได้สัมผัสวิถีชีวิตสุดตื่นตาตื่นใจ การไปกราบสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ หรือแม้แต่การลองทานอาหารอินเดียแล้ว สถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งก็จัดว่าห้ามพลาดเช่นกัน ซึ่งหนึ่งในแลนด์มาร์กสำคัญที่ขอแนะนำให้รู้จักนั่นคือ “ประตูอินเดีย” หรือ Gateway of India ที่ตั้งอยู่ในเมืองมุมไบ ด้วยการเป็นอนุสาวรีย์แห่งชาติของประเทศ ซึ่งจะมีเรื่องราวน่าสนใจมากน้อยแค่ไหน ไปสัมผัสพร้อมกันได้เลย
สำหรับประตูอินเดีย หรือ Gateway of India ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองเมื่อครั้งที่พระเจ้าจอร์จที่ 5 แห่งสหราชอาณาจักรและพระนางมาเรียแห่งเท็ค ทรงเสด็จมาเยือนนครมุมไบตั้งแต่ครั้งปี ค.ศ. 1911 และเริ่มก่อสร้างเมื่อวันที่ 31 มีนาคม ปีเดียวกัน บริเวณอะพอลโลบันเดอร์ ก่อนจะแล้วเสร็จและมีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการในวันที่ 4 ธันวาคม ค.ศ. 1924
มีการออกแบบสถาปัตยกรรมแบบอินโด - ซาราเซน (Indo - Saracenic) พร้อมผสานความงดงามของศิลปะแบบคุชราตในศตวรรษที่ 16 เข้าไปด้วย ลักษณะจะมีความโค้งด้านบนคล้ายกับประตูชัยในยุโรปหลายแห่ง โดดเด่นด้วยการนำวัสดุอย่างหินบะซอลต์มาเป็นส่วนประกอบสำคัญ ขนาดความสูง 26 เมตร ผลงานทั้งหมดถูกรังสรรค์ขึ้นโดย George Wittet
นอกจากการเป็นสัญลักษณ์สำคัญประจำเมืองมุมไบแล้ว เมื่อการก่อสร้างเสร็จสิ้นและมีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการ ประตูแห่งนี้มักใช้เพื่อเป็นทางเข้าสำหรับทำพิธีทางศาสนาของชาวอังกฤษและอินเดียในยุคที่ยังปกครองแบบล่าอาณานิคม กระทั่งเมื่อยุคดังกล่าวจบสิ้นลง ทหารอังกฤษออกจากประเทศไปพวกเขาก็ได้อิสรภาพคืนกลับมาพร้อมกับงานสถาปัตยกรรมนี้ด้วยนั่นเอง
ด้วยความอลังการและความวิจิตรด้านผลงานศิลปะชั้นเอกจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ประตูอินเดียจะกลายเป็นแลนด์มาร์กให้นักท่องเที่ยวได้มาเยี่ยมเยียนพร้อมถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก ความพิเศษอีกอย่างสำหรับคนไม่เคยไปนั่นคือ ประตูแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นทางตอนใต้ของเมืองมุมไบ โดยอยู่บริเวณทะเลอาหรับ ด้านหลังจึงมีวิวที่สวยงาม มองเห็นคุ้งน้ำกว้างใหญ่ และยังมีเรือบริการสำหรับนักท่องเที่ยวให้ได้ทำกิจกรรมกันอย่างเพลิดเพลินอีกด้วย ซึ่งถ้าใครพักกับโรงแรมทัชมาฮาล พาเลซ จะสามารถมองวิงของ Gateway of India ได้แบบพอดิบพอดี นับเป็นภาพแห่งความสวยงามและน่าประทับใจแบบสุดๆ มีหลายคนยกย่องให้สถานที่แห่งนี้เปรียบเสมือน “ทัชมาฮาลแห่งมุมไบ” กันเลยทีเดียว
นอกเหนือจากการเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดฮิตในเมืองมุมไบแล้ว สถานที่แห่งนี้ยังมักถูกใช้เป็นพื้นที่ในการทำพิธีเพื่อต้อนรับเหล่าบรรดาคนสำคัญหรือรัฐมนตรีคนใหม่ของนครมุมไบ และยังถือเป็นเส้นทางสำหรับผู้ที่เดินทางผ่านมหาสมุทรอินเดียเข้ามายังทะเลอาหรับและต้องการเข้าสู่ประเทศอินเดียด้วย จึงไม่ใช่แค่ความสำคัญในเรื่องของสถานที่เท่านั้นแต่ยังบ่งบอกถึงการใช้ชีวิตผู้คนอีกด้วย
ด้วยสถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของนครมุมไบ หากคุณพักอาศัยอยู่บริเวณใจกลางเมือง หรือพึ่งลงจากท่าอากาศยานนานาชาติฉัตรปตี ศิวาจี มหาราช แนะนำให้เลือกโดยสารรถแท็กซี่ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ในกรณีที่การจราจรทั่วไป ไม่ได้ติดขัดมากนัก ส่วนใครอยากประหยัดจริงๆ แล้วก็ยังสามารถนั่งรถโดยสารได้ แต่ต้องเดินทางหลายต่อและเปลี่ยนหลายสายมาก จึงไม่อยากให้เสียเวลา มาถึงประตูอินเดียแล้วสัมผัสกับบรรยากาศความงดงามของสถานที่กันดีกว่า เพราะจริงๆ แล้วยังมีหลายมุมให้คุณได้เก็บภาพเป็นที่ระลึกทั้งบริเวณประตูหรือฉากหลังซึ่งเป็นทะเลอาหรับก็งดงามไม่แพ้กันเลยทีเดียว เปิดประสบการณ์ใหม่ให้กับชีวิตอย่างแน่นอน
กิจกรรมแรกที่เชื่อว่าทุกคนจะต้องทำแน่ๆ เมื่อไปถึงนั่นคือ การถ่ายภาพเพื่อเก็บความประทับใจในการเดินทางครั้งนี้เอาไว้อย่างดี ซึ่งก็อย่างที่อธิบายเอาไว้ด้วยทำเลตั้งอยู่ริมน้ำช่วยเพิ่มความสวยงามและมีมุมสุดสวยเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายภาพวิว การถ่ายกับตัวสถาปัตยกรรม ไปจนถึงการถ่ายภาพของตนเองเพื่อเป็นที่ระลึกด้วย
สำหรับคนที่เหนื่อยกับการเดินทางมาถึงเมืองมุมไบแล้วต่อเนื่องมาจนถึงประตูอินเดีย ความเหนื่อยล้าคือสิ่งที่เกิดขึ้นได้เป็นเรื่องปกติ ซึ่งพื้นที่บริเวณนี้ด้วยความเป็นลานกว้างและมีเก้าอี้นั่ง หรือขอบสันเขื่อนจำนวนมาก จึงสามารถพักผ่อนหย่อนใจกันได้ตามสะดวก ยิ่งถ้าไปในช่วงอากาศเย็นๆ นับว่าเป็นความชิลที่ทำให้คุณสุขกายสบายใจมากขึ้นอย่างแท้จริง หรือใครอยากแอบให้ขนมนกพิราบที่บินวนเวียนกันเป็นกลุ่มอยู่บริเวณนั้นก็ไม่ว่ากัน
เป็นยังไงกันบ้างกับเรื่องราวและประวัติอันน่าสนใจของประตูอินเดีย แลนด์มาร์กสำคัญอีกแห่งในนครมุมไบ ประเทศอินเดีย สถานที่ที่ได้ชื่อว่าเป็นอีกเมืองที่มีความคับคั่งและขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เดินหน้า หากใครมีโอกาสต้องไม่พลาดจดลิสต์สถานที่แห่งนี้เอาไว้เป็นไฮไลต์เด็ดขาด เพราะความยิ่งใหญ่ ความงดงามตระการตา ไปจนถึงบบรรยากาศโดยรอบ ทุกอย่างล้วนหลอมรวมให้เกิดความพิเศษในตัวตนที่แม้ไม่ได้หวือหวาแต่คงความมีระดับได้อย่างยอดเยี่ยม สมแล้วกับการเป็นประเทศอันเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์อันแสนยาวนาน
