หากมองหาประเทศที่เงียบสงบ และเต็มไปด้วยศิลปวัฒนธรรมที่งดงาม การไปทัวร์เบลเยียมจะสามารถเติมเต็มความฝันของการเดินทางได้อย่างแน่นอน เบลเยียมเป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม เพราะมีทั้งชาวเฟลมิชที่พูดภาษาดัตช์อยู่ทางตอนเหนือ วอลลูนส์ที่พูดภาษาฝรั่งเศสทางตอนใต้ มีชุมชนเล็กๆ ทางตะวันออกที่พูดภาษาเยอรมัน และมีเมืองหลวงอย่างบรัสเซลส์ที่อยู่ตรงกลางและใช้หลายภาษา ดังนั้นความหลากหลายทางเชื้อชาติจึงทำให้เบลเยียมมีสถาปัตยกรรมและแลนด์มาร์กที่น่าทึ่ง จนกลายเป็นเสน่ห์ที่ดึงดูดผู้คนให้มาทัวร์เบลเยียมกันอย่างไม่ขาดสาย
ข้อมูลเที่ยวทัวร์เบลเยียม
เบลเยียมถือเป็นประตูสู่ยุโรป เพราะหากมาทัวร์เบลเยียมแล้ว เราสามารถเดินทางไปเที่ยวปารีส ลอนดอน และอัมสเตอร์ดัมที่อยู่ห่างออกไปโดยรถไฟเพียง 2 ชั่วโมง ดังนั้นหากเราจัดทริปเที่ยวเบลเยียม เราจึงสามารถเดินทางไปยังประเทศอื่นๆ ในโซนใกล้เคียงได้อย่างสะดวกสบาย และสำหรับนักเดินทางที่กำลังมองหาความโรแมนติก ประวัติศาสตร์ อาหาร รวมไปถึงช็อกโกแลตที่ขึ้นชื่อระดับโลก การมาทัวร์เบลเยียมจะช่วยเติมเต็มความฝันให้เป็นจริงได้อย่างแน่นอน
ทัวร์เบลเยียมตามเมืองยอดนิยม
บรัสเซลล์ (Brussels)
การมาทัวร์เบลเยียมจะขาดการมาเยือนเมืองหลวงที่สวยและคลาสสิกอย่างบรัสเซลล์ไม่ได้เป็นอันขาด เมืองนี้มีแลนด์มาร์กมากมายให้เราได้แวะเยี่ยมชม นอกจากจะเป็นเมืองหลวงแล้ว ที่นี่ยังมีอาคารเก่าแก่เยอะที่สุดในประเทศอีกด้วย ส่วนแลนด์มาร์กชื่อดังที่ห้ามพลาดสำหรับการเที่ยวเบลเยียมในเมืองบรัสเซลล์ก็คือ รูปปั้นทองสัมฤทธิ์อันแสนโด่งดังอย่าง “Manneke Pis” นอกจากนี้บริเวณจัตุรัสหลักของเมืองที่อยู่ไม่ไกลก็ถือเป็นหนึ่งในจัตุรัสที่น่าประทับใจที่สุดในโลกด้วยเช่นกัน
อันท์เวิร์ป (Antwerp)
หลายคนไม่รู้จักเมืองนี้ แต่แท้จริงแล้วอันท์เวิร์ปถือเป็นหนึ่งในเมืองที่สวยที่สุดในเบลเยียม ดังนั้นหากมาทัวร์เบลเยียมแล้วไม่ได้แวะมาจะน่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง ว่ากันว่าเมืองอันท์เวิร์ปเป็นเมืองแห่งเพชรและแฟชั่นที่สำคัญระดับโลก นอกจากนี้จัตุรัสกลางเมืองยังเป็นพื้นที่ยอดนิยมเพราะสวยงามด้วยสถาปัตยกรรมสไตล์เรเนซองส์ที่น่าทึ่ง
ลูเวน (Leuven)
สำหรับคนที่ต้องการเที่ยวเบลเยียมแบบสโลว์ไฟล์ ขอแนะนำเมืองลูเวน ซึ่งเป็นเมืองมหาวิทยาลัยที่งดงาม ความโดดเด่นที่สุดอย่างหนึ่งของเมืองนี้ก็คือ สถาปัตยกรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของศาลากลาง ซึ่งมีอายุย้อนไปถึงช่วงปี 1400 ถือเป็นแลนด์มาร์กที่มีโครงสร้างที่ยอดเยี่ยมและควรค่าต่อการถ่ายรูป และด้วยความเป็นเมืองมหาวิทยาลัย จึงทำให้เมืองนี้มีชีวิตชีวาในยามค่ำคืน ดังนั้นหากมองหาที่แฮงค์เอาท์และสำรวจไลฟ์สไตล์แบบนักศึกษา เมืองลูเวนถือว่าตอบโจทย์อย่างแน่นอน
เกนต์ (Ghent)
การมาเที่ยวเบลเยียมสำหรับคนที่ชอบดอกไม้จะต้องปักหมุดที่นี่เอาไว้เลย เพราะเกนต์ถือเป็นเมืองแห่งดอกไม้แห่งเบลเยียม โดยเป็นสถานที่จัดงานพฤกษศาสตร์ "the Gentse Floralien" ซึ่งเราจะได้พบดอกไม้ที่สดใสไปทั่วทั้งเมือง ส่วนใครที่ชอบความเก่าแก่ย้อนยุค ต้องไม่พลาดในการแวะไปชม Gravensteen ซึ่งเป็นปราสาทที่มีชื่อเสียงที่สุดและสร้างโดย Filips of Alsasse นักท่องเที่ยวสามารถชมทิวทัศน์มุมกว้างของเมืองได้จากยอดตึกแห่งนี้
บรูจส์ (Bruges)
เมืองบรูจส์ถือเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวเบลเยียมที่สำคัญไม่แพ้เมืองหลวงอย่างบรัสเซลล์ โดยเมืองนี้ได้รับการขนานนามว่าเป็น "เวนิสแห่งทิศเหนือ" ด้วยบรรยากาศย้อนยุคแบบเมืองในยุคกลางที่เต็มไปด้วยถนนหินกรวดและอนุสรณ์สถานทางประวัติศาสตร์ ทำให้ผู้คนที่มาทัวร์เบลเยียมต้องแวะบรูจส์เป็นลำดับแรกๆ ของการเดินทาง มีแลนด์มาร์กเด่นๆ เช่นอาคารโบราณ Belfry of Bruges ซึ่งสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 13 นอกจากนี้ใกล้ๆ กันยังมีตลาดบริเวณจัตุรัสที่จะให้เราได้ชิมช้อปใช้และถ่ายรูปสวยๆ ได้อย่างจุใจ
สถานที่ท่องเที่ยวทัวร์เบลเยียม ยอดนิยม
กรองด์ปลาซ (Grand Place/De Grote Markt)
การมาเยือนจัตุรัสกรองด์ปลาซถือเป็นไฮไลต์หลักของการทัวร์เบลเยียมในเมืองหลวงอย่างบรัสเซลล์เลยทีเดียว เพราะล้อมรอบไปด้วยอาคารโบราณและศาลากลางแบบโกธิคที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี นอกจากนี้กรองด์ปลาซยังได้รับการเสนอชื่อให้เป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก เนื่องจากเป็นตัวแทนของสถาปัตยกรรมปลายศตวรรษที่ 17 ที่โดดเด่น จัตุรัสแห่งนี้คราคร่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวและคนในท้องถิ่นตลอดวัน ดังนั้นนอกจากชมความงามแล้ว เรายังสามารถแวะทานอาหารหรือช้อปปิ้งในโซนนี้ได้
หอระฆังเบลฟรายเมืองบรูจส์ (Belfry of Bruges)
หอระฆังที่สวยงามแห่งนี้ถือเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวโด่งดังของเบลเยียม ตั้งตระหง่านเหนือจัตุรัสหลักของเมืองบรูจส์ โด่งดังขนาดนี้จึงต้องไม่ลืมปักหมุดเอาไว้เป็นพิกัดที่เที่ยวเบลเยียมที่ไม่ควรพลาด หอระฆังสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 13 นอกจากนี้ไฮไลต์เด็ดในการมาเยือนก็คือ การเดินขึ้นบันได 366 ขั้นที่คดเคี้ยว เพื่อไปชมทิวทัศน์แบบพาโนรามาที่มีชื่อเสียงก้องโลก
ป้อมปราการกราเวนสทีน (Gravensteen)
การมาเยือนเมืองเกนต์ ต้องไม่พลาดในการแวะมาชมสถานที่สำคัญอย่างป้อมปราการกราเวนสทีน เพราะว่าป้อมปราการแห่งนี้ถือเป็นหนึ่งในที่เที่ยวเบลเยียมที่มีตัวป้อมปราการติดกับคูเมืองที่มีสภาพสมบูรณ์และดีที่สุดแห่งหนึ่งของยุโรป โดยตัวป้อมปราการจะมีกำแพงที่หนาและสูงอย่างน่าทึ่ง ภายในจะมีการจัดแสดงนิทรรศการประวัติศาสตร์และเรื่องราวในยุคกลางที่น่าสนใจไม่แพ้ตัวสถาปัตยกรรมอีกด้วย
โบสถ์เซนต์ปีเตอร์ (St. Peter's Church)
แวะเยี่ยมชมโบสถ์สวยๆ ที่แสนจะศักดิ์สิทธิ์อย่างโบสถ์เซนต์ปีเตอร์ที่เมืองลูเวนกันบ้าง โบสถ์ออกแบบด้วยสถาปัตยกรรมสมัยศตวรรษที่ 15 อันวิจิตรงดงาม โดยมีรายละเอียดสวยๆ ซ่อนอยู่ เช่น หน้าต่างโค้งแหลมและเสาที่งดงาม ซึ่งกล่าวกันว่าเป็นหนึ่งในสถาปัตยกรรมสไตล์โกธิคแบบ Brabant ที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดีที่สุดแห่งหนึ่ง นอกจากนี้ภายในยังมีพิพิธภัณฑ์ที่อุทิศให้กับงานศิลปะทางศาสนา ซึ่งมีการจัดแสดงภาพวาดภาษาเฟลมิชที่มีชื่อเสียง
พิพิธภัณฑ์ MAS (Museum aan de Stroom)
สำหรับคนที่สนใจในศิลปะ การมาทัวร์เบลเยียมและแวะชมพิพิธภัณฑ์ MAS ในอันท์เวิร์ป ถือเป็นการเปิดโลกได้อย่างดีเยี่ยม เพราะแค่เห็นตัวอาคารก็ต้องตะลึงในความงามของสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ที่มีรูปทรงเรขาคณิตของหินหลากสีและแผ่นกระจกรูปคลื่น ภายในมีการจัดแสดงที่หลากหลาย ตั้งแต่ประวัติศาสตร์ไปจนถึงงานประติมากรรมที่น่าสนใจอย่าง Saluting Admiral Couple ที่สร้างโดยศิลปินท้องถิ่น
สภาพอากาศและฤดูกาลที่เบลเยียม
ก่อนจะมาทัวร์เบลเยียม การเช็กสภาพอากาศถือเป็นสิ่งสำคัญ เพราะประเทศเบลเยียมนั้น แม้จะอยู่ในยุโรปซึ่งมีอากาศหนาวเย็น แต่ก็มีภูมิอากาศแบบประเทศติดทะเลพอสมควร เนื่องจากได้รับอิทธิพลจากมหาสมุทรแอตแลนติก ดังนั้นจึงทำให้บางช่วงของปีอาจจะเจอกับอากาศที่มีความแปรปรวนได้
- ฤดูใบไม้ผลิ (เมษายนถึงมิถุนายน) หากใครมาเที่ยวเบลเยียมช่วงนี้มักจะเจอกับอากาศดีๆ ที่สามารถทำกิจกรรมกลางแจ้งได้ อุณหภูมิเฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณระหว่าง 10 ถึง 15 องศาเซลเซียส ช่วงฤดูใบไม้ผลิเหมาะแก่การท่องเที่ยวเบลเยียมมากๆ เพราะอากาศเย็นสบาย มีแสงแดดที่สดใส และที่สำคัญเราจะได้สัมผัสกับต้นไม้สวยๆ พร้อมทุ่งดอกไม้บานสะพรั่งในช่วงฤดูนี้
- ฤดูร้อน (กรกฎาคม - สิงหาคม) ฤดูร้อนถือเป็นหนึ่งในฤดูกาลที่ดีสำหรับการทัวร์เบลเยียม เพราะอากาศจะอบอุ่นโดยมีอุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณระหว่าง 20 ถึง 25 องศาเซลเซียส แต่ต้องบอกก่อนว่าแลนด์มาร์กยอดนิยมเช่น ชายหาดของทะเลเหนืออย่างชายหาด Ostend จะแน่นขนัดในช่วงนี้ ดังนั้นหากไม่ชอบคนเยอะอาจจะเลือกมาช่วงฤดูอื่นแทน
- ฤดูใบไม้ร่วง (กันยายนถึงพฤศจิกายน) สำหรับคนที่จะมาทัวร์เบลเยียมแล้วไม่ชอบเบียดเสียด แนะนำให้มาในช่วงฤดูใบไม้ร่วง เพราะเมื่อหลุดจากหน้าร้อน อากาศก็จะเริ่มเย็นลง ฝูงชนเริ่มเบาบาง ฤดูใบไม้ร่วงจะมอบทัศนียภาพที่งดงาม แถมยังมีกิจกรรมทางวัฒนธรรมและเทศกาลมากมายให้เราได้สำรวจ โดยอากาศในช่วงนี้จะมีอุณหภูมิเย็นสบายกำลังดี อยู่ระหว่าง 12 ถึง 15 องศาเซลเซียส
- ฤดูหนาว (พฤศจิกายนถึงมีนาคม) หากอยากเจออากาศหนาวแบบฟินๆ การเที่ยวเบลเยียมช่วงนี้น่าจะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม โดยมักมีอุณหภูมิอยู่ที่ประมาณระหว่าง 3 ถึง 7 องศาเซลเซียส แม้บางช่วงจะมีเรื่องของฝนที่เป็นอุปสรรคต่อการเดินทาง เนื่องจากชายฝั่งของประเทศจะได้รับอิทธิพลจากมหาสมุทรแอตแลนติก ซึ่งนอกจากจะมีฝนแล้ว ยังทำให้อุณหภูมิลดลงอีกด้วย ดังนั้นหากต้องการเที่ยวแบบสบายๆ แนะนำให้เที่ยวเมืองที่อยู่ห่างจากชายฝั่งจะดีที่สุด
เที่ยวทัวร์เบลเยียม ใช้งบเท่าไหร่
แม้เบลเยียมจะเป็นประเทศในยุโรป แต่การทัวร์เบลเยียมก็ไม่ได้แพงแบบที่หลายคนคิด เพราะหากวางแผนล่วงหน้าดีๆ เลือกทัวร์เบลเยียมในช่วงโลว์ซีซัน เราก็สามารถเลือกจองตั๋วเครื่องบินและที่พักในราคาที่คุ้มค่าได้ ดังนั้นลองมาดูกันว่าค่าใช้จ่ายต่างๆ สำหรับทริปเที่ยวเบลเยียมนั้นมีอะไรกันบ้าง
- ค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าตั๋วเครื่องบินไปกลับสำหรับทัวร์เบลเยียมนั้นจะอยู่ที่ราวๆ 2 หมื่นปลายๆ ไปจนถึง 3 หมื่นสำหรับที่นั่งชั้นประหยัด แต่หากรอช่วงโปรโมชัน ราคาอาจจะลดต่ำลงกว่านี้
- ค่ากิน ราคาอาหารต่อมื้อมักขึ้นอยู่กับรูปแบบของร้านที่เราเลือก แต่หากยึดเอาร้านอย่าง McDonald ซึ่งมีสาขาอยู่ทั่วโลก จะพบว่าราคาเบอร์เกอร์ก็ไม่ได้สูงมาก โดยบิ๊กแมคจะอยู่ที่ชิ้นละ €4.75 (178 บาท) ส่วนร้านอาหารทั่วไป อาหารพร้อมเครื่องดื่มจะตกอยู่ที่ €15 – €20 (562 – 750 บาท) ต่อคน
- ค่าที่พัก หากเน้นที่พักแบบเดินทางสะดวกสำหรับการเที่ยวเบลเยียม แนะนำห้องพักที่อยู่ใกล้รถไฟ ซึ่งราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 3,000 บาท แต่หากเน้นความหรูหราราคาห้องพักจะเริ่มที่ราวๆ 7,000 บาท
- ค่าเดินทางและค่าเข้าสถานที่ แนะนำให้ซื้อ Day Pass ตามเมืองท่องเที่ยว ซึ่งจะทำให้เราเที่ยวเบลเยียมได้ประหยัดยิ่งขึ้น เพราะพาสเหล่านี้มักจะรวมค่าเข้าสถานที่สำคัญเอาไว้แล้ว รวมถึงใช้กับรถสาธารณะได้ เช่น Brussels Card แบบ 24 ชั่วโมง ราคา €32 สามารถใช้ขึ้นรถและเข้าพิพิธภัณฑ์ได้ฟรีใน 24 ชั่วโมง
อาหารเบลเยียม ที่ไปเที่ยวแล้วควรลอง
หอยแมลงภู่ (Moules-frites/mosselen-friet)
ใครไปทัวร์เบลเยียมแล้วไม่ได้ลองทานหอยแมลงภู่เบลเยียมนั้นถือว่าพลาดของดีไปอย่างน่าเสียดาย โดยเมนูนี้ถือเป็นอาหารเรียกน้ำย่อยสำหรับคนที่เที่ยวเบลเยียมที่ต้องลิ้มลองให้ได้ กรรมวิธีในการทำหอยแมลงภู่สไตล์เบลเยียมนั้นมักจะนึ่งในไวน์ขาวและใส่หอมแดง ผักชีฝรั่ง เนย ให้รสชาติที่กลมกล่อมแบบคลาสสิก
มันฝรั่งทอด (Frites/frietjes)
เฟรนช์ฟรายหรือมันฝรั่งทอดแสนอร่อยถือเป็นอาหารประจำชาติของเบลเยียม และคาดว่าต้นตำรับของเฟรนช์ฟรายก็มาจากที่นี่เช่นกัน ดังนั้นหากมาทัวร์เบลเยียมต้องลองลิ้มรสดูสักครั้ง เพื่อพิสูจน์ว่าความอร่อยสมคำร่ำลือหรือไม่
คร็อกเกต์กุ้งสีเทา (Grey Shrimp Croquettes)
สำหรับสายเที่ยวเบลเยียมที่ชอบของทอด แนะนำให้ลองทานคร็อกเกต์กุ้งสีเทาสูตรดั้งเดิม โดยไส้ด้านในจะใส่กุ้งและซอสเข้มข้น ส่วนด้านนอกจะชุบเกล็ดขนมปังแล้วทอดจนกรอบให้ได้สีทองน่ารับประทาน
เจเนเวอร์ (Jenever)
นักท่องเที่ยวที่มาทัวร์เบลเยียมสายปาร์ตี้หรือสายดริงก์ต้องไม่พลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แบบดั้งเดิมที่มีรสจูนิเปอร์ เรียกอีกอย่างว่า “Dutch gin” มีหลากหลายรสชาติและเสิร์ฟในแก้วเล็กๆ แถมยังมีต้นกำเนิดเก่าแก่ย้อนกลับไปในศตวรรษที่ 14 อีกด้วย ปัจจุบันถือเป็นเครื่องดื่มดั้งเดิมยอดนิยมทั้งในเบลเยียมและเนเธอร์แลนด์
วอฟเฟิล (Gaufre)
ขนมวอฟเฟิลแสนอร่อยถือเป็นของกินที่คนเที่ยวเบลเยียมทุกคนต้องมาลอง สามารถหาทานได้ตามร้านค้าแผงลอยไปจนถึงร้านอาหารหรูๆ ปกติวอฟเฟิลเบลเยียมจะมีท็อปปิ้งให้เลือกมากมาย แต่สูตรคลาสสิกจะใส่แค่วิปครีม นูเทลลา หรือผลไม้สด
แหล่งช้อปปิ้งในเบลเยียม ยอดนิยม
ตลาดของเก่า Sablon (Antiekmarkt van de Zavel)
ใครที่มาทัวร์เบลเยียมแล้วมองหาสถานที่ช้อปปิ้งที่เน้นของเก่าและของวินเทจต้องแวะมาตลาดแห่งนี้ให้ได้ ตลาด Sablon เป็นศูนย์รวมการซื้อขายแลกเปลี่ยนของเก่าในกรุงบรัสเซลส์ เปิดมาตั้งแต่ทศวรรษ 1960 มีสินค้ามากมายเช่น งานศิลปะ เครื่องเงิน เฟอร์นิเจอร์ เครื่องแก้ว เป็นต้น
พาสสาจดูนอร์ด (Passage du Nord)
สำหรับคนที่อยากช้อปสินค้าแบรนด์เนม แนะนำให้แวะมาที่นี่ เพราะที่ Passage du Nord จะเน้นขายสินค้าจากแบรนด์ดังๆ เช่น Burberry, Hugo Boss, Giorgio Armani, Versace ที่สำคัญภายในยังสวยงามมากๆ เพราะเป็นอาร์เคดในร่มสมัยศตวรรษที่ 19 ถือเป็นแหล่งช้อปปิ้งที่เก่าแก่และหรูหราที่สุดแห่งหนึ่งในเมืองบรัสเซลล์
ควอเทียร์ลาติน (Quartier Latin)
หากมาทัวร์เบลเยียมแล้วแวะเมืองอันท์เวิร์ป และอยากเดินช้อปแบบฟินๆ ขอแนะนำย่านควอเทียร์ลาติน โดยในโซนนี้จะมีร้านค้าดังๆ เช่น Jimmy Choo, Chanel, Armani, Maje, Hermes และอื่น ๆ อีกเพียบ
ตลาดนัดวันอาทิตย์เมืองลูเวน
หากมีโอกาสไปเยือนเมืองลูเวน แนะนำให้แวะช้อปปิ้งและเดินดูของที่น่าสนใจที่ตลาดนัดใกล้ๆ กับสถานี Heverlee train station เพราะที่นี่จะแน่นขนัดไปด้วยเสื้อผ้า ของใช้และสินค้าท้องถิ่น ซึ่งรวมถึงของกินแสนอร่อยนานาชนิด
ถนนคนเดินเมืองบรูจส์
การไปเที่ยวเมืองบรูจส์นั้นนอกจากจะได้พบกับแลนด์มาร์กประวัติศาสตร์ที่สำคัญแล้ว เมืองนี้ยังมีถนนคนเดินทางที่น่าสนใจอีกหลายแห่งในย่าน Zuidzandstraat, Noordzandstraat และ Geldmunstraat ซึ่งจะเป็นถนนคนเดินปลอดรถยนต์ แถมมีของให้ช้อปแทบจะทุกประเภท
โรงแรมและที่พักในเบลเยียมแนะนำ
Hotel Novotel Brussels Off Grand Place
การมาเที่ยวเบลเยียมพร้อมที่พักที่มีโลเคชันสะดวกสบายถือเป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้นการเลือกพักที่ Hotel Novotel Brussels Off Grand Place จึงตอบโจทย์การเดินทางได้อย่างแน่นอน โรงแรมแห่งนี้ตั้งอยู่ใจกลางเมืองติดกับจัตุรัสชื่อดัง แถมยังเดินไปขึ้นรถไฟได้ภายใน 2 นาทีเท่านั้น ห้องพักราคาเริ่มต้นที่ 9,900 บาท
Rocco Forte Hotel Amigo
ใครมาพักที่ Rocco Forte ในบรัสเซลล์ต่างก็ต้องประทับใจ เพราะโรงแรมมีสถาปัตยกรรมที่งดงาม แถมเป็นโรงแรมหรูระดับ 5 ดาว และตั้งอยู่ที่หัวมุมของ Grand Place ซึ่งทำให้การเที่ยวเบลเยียมสะดวกยิ่งขึ้น ราคาห้องพักเริ่มต้นที่ 17,000 บาท
Juliana Hotel Brussels
โรงแรม 5 ดาวในบรัสเซลล์ที่สวยและหรูหราแห่งนี้ เหมาะกับผู้ที่มาเที่ยวเบลเยียมและมองหาความคลาสสิกและความหรูหราเป็นอย่างยิ่ง ที่สำคัญอยู่ใกล้สถานีรถไฟ De Brouckère มากๆ ราคาห้องเริ่มต้นที่ 11,000 บาท
ibis Gent Centrum St. Baafs Kathedraal
เน้นเดินเที่ยวสะดวกในเมืองเกนต์ ขอแนะนำให้พักที่ ibis แห่งนี้ เพราะโลเคชันตั้งอยู่ตรงข้าม Saint Bavo's Cathedral แลนด์มาร์กชื่อดัง รับรองว่าจะทำให้ทริปทัวร์เบลเยียมหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง ที่สำคัญราคาเริ่มต้นเพียง 4,000 บาทเท่านั้น
Botanic Sanctuary Antwerp
โรงแรมหรูหราและชื่อดังประจำเมืองอันท์เวิร์ปแห่งนี้ แม้ราคาจะค่อนไปทางสูงคือ เริ่มต้น 14,000 บาท แต่ก็มีโลเคชันที่อยู่ใจกลางเมือง เดินทางสะดวก แถมยังสวยมากๆ เพราะตัวโรงแรมรีโนเวทมาจากอารามประวัติศาสตร์สมัยศตวรรษที่ 15 ภายในมีร้านอาหาร 4 แห่งพร้อมเชฟมิชลินสตาร์คอยให้บริการ
แนะนำของฝาก เบลเยียม
หนังสือการ์ตูน
บรัสเซลล์ถือเป็นแหล่งกำเนิดดั้งเดิมของการ์ตูนคลาสสิกหลายเรื่อง อาทิเช่น Tin Tin, Lucky Luke และLe Chat ดังนั้นการมาทัวร์เบลเยียมจะต้องไม่ลืมที่จะซื้อการ์ตูนสุดแสนคลาสสิกกลับไปเป็นของฝาก ซึ่งเหมาะกับคอการ์ตูนอย่างแน่นอน
ช็อกโกแลต
มาทัวร์เบลเยียมทั้งทีต้องมีช็อกโกแลตแท้ๆ จากเบลเยียมติดไม้ติดมือไปฝากคนที่บ้านให้ได้ เพราะช็อกโกแลตเบลเยียมถือเป็นช็อกโกแลตที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก และเป็นหนึ่งในของฝากยอดนิยม โดยขอแนะนำให้แวะร้านดังอย่าง Pierre Marcolini และ Corné Port-Royal
เบียร์
แม้เบลเยียมจะเป็นประเทศเล็กๆ แต่รู้ไหมว่าประเทศนี้มีโรงงานผลิตเบียร์กว่า 100 แห่งที่ผลิตเบียร์กว่า 700 ชนิด ดังนั้นหากมาทัวร์เบลเยียมถิ่นผลิตเบียร์แสนยิ่งใหญ่ ต้องไม่ลืมที่จะซื้อเบียร์แสนอร่อยกลับไปลองชิมดู ยี่ห้อที่แนะนำคือ Westvleteren 12, Orval และ Rochefort 10
ตุ๊กตา Manneken-Pis
ตุ๊กตาเด็กน้อยถือเป็นสัญลักษณ์ประจำกรุงบรัสเซลส์ก็ว่าได้ ดังนั้นลองมองหาตุ๊กตา Manneken-Pis ไซส์มินิ ซึ่งมักวางขายย่านจัตุรัสใจกลางเมือง หรือร้านขายของที่ระลึก
วอฟเฟิล
ขนมขึ้นชื่อที่ต้องชิมสำหรับคนที่มาทัวร์เบลเยียม ที่สำคัญเรายังสามารถซื้อกลับไปเป็นของฝากได้ไม่ยาก เพราะหาซื้อได้ง่ายตามซูเปอร์มาร์เก็ต และร้านค้าท้องถิ่น แต่ยี่ห้อยอดนิยมจะเป็นวอฟเฟิลของ Liège ซึ่งมีเนื้อแน่นและกลมกล่อม
นอกจากจะได้ชิมช้อปและถ่ายรูปอย่างเต็มอิ่มที่ประเทศเบลเยียมแล้ว นักเดินทางยังมีโอกาสได้สัมผัสกับวัฒนธรรมที่หลากหลาย พร้อมภาษาราชการที่ใช้กันถึง 3 ภาษา แต่หมดห่วงเรื่องการสื่อสารไปได้เลย เพราะชาวเบลเยียมส่วนใหญ่ใจดีและพูดภาษาอังกฤษได้คล่อง ส่วนเคล็ดลับหลักสำหรับการเที่ยวไม่ให้หลงก็คือ นอกจากจะใช้แผนที่เข้าช่วยแล้ว การเข้าไปพูดคุยและทักทายผู้คนท้องถิ่นยังถือเป็นตัวช่วยที่ดีมากๆ เพราะนอกจากจะได้ข้อมูลที่ชัวร์กว่าแล้ว ยังทำให้เราได้สัมผัสกับวิถีชีวิตของชาวเบลเยียมได้อย่างแท้จริงอีกด้วย